ดร.จิรายุทธ ชุษณะโชติ ลงทุนด้วยใจกับ Shelldon การ์ตูนของไทยที่จะไปไกลระดับโลก Posted on Saturday, October 18, 2008 |
80 ล้านบาท เป็นค่าตัวของ “Shelldon” หอยพระอาทิตย์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากจินตนาการของ ดร.จิรยุทธ ชุษณะโชติ และเป็นภาพยนตร์การ์ตูน “The Shelldon” ที่กำลังแพร่ภาพทางช่อง 3 และได้รับความนิยมและกล่าวถึงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังจะมีการพัฒนาเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ออกฉายทั่วโลกในอีก 2 ปีข้างหน้า และนั่นทำให้ค่าตัวของหอยพระอาทิตย์ตัวนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ทุกวันนี้ดร.จิรยุทธ ชุษณะโชติ ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ถ้าเอ่ยชื่อถึงการ์ตูน “The Shelldon” ที่กำลังฉายอยู่ช่อง 3 ยังเป็นที่รู้จักกันมากกว่า หากจะบอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้มีจุดกำเนิดมาจากจินตนาการของ ดร.จิรยุทธ ที่ยอมละทิ้งหน้าที่อันมั่นคงเพื่อแสวงหาความฝันของตัวเอง The Shelldon เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ทันยุคทันสมัย ตอบโจทย์กระแสโลกร้อน (Global Warming) ในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยนำเสนอผ่านตัวเอกที่เป็นหอยพระอาทิตย์ในการปกป้องท้องทะเล ซึ่งถูกจินตนาการขึ้นจาก ดร.จิรยุทธ ขณะที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือในวิชาสถิติและไฟแนนซ์ อยู่ที่ Cleveland State University, Ohio สหรัฐอเมริกาฯ ถึงแม้จะอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ ดร.จิรยุทธ ไม่ทิ้งเรื่องธุรกิจเพราะพื้นฐานของครอบครัวชุษณะโชติทำธุรกิจของขวัญ ของชำร่วยเรซินเพื่อส่งออก ภายใต้แบรนด์ “Shell Hut” โดยผลิตมาจากเปลือกหอยชนิดต่างๆ ซึ่งหน้าที่ของดร.จิรยุทธ คือ ดูแลการตลาดต่างประเทศ “เริ่มมาจากความที่รักทะเล ตอนเด็กๆ คุณพ่อ คุณแม่ ชอบพาพี่ๆ น้องๆ ไปทะเลก็เลยมีความรู้สึกว่าถ้าจะทำธุรกิจซักอย่างน่าจะเป็นธุรกิจที่เรารัก ก็เลยเริ่มจากงานศิลปะ จับคอนเซ็ปต์หลักสักอย่างหนึ่งมาใส่ในงานศิลปะก็เป็นที่มาว่าพวกเราเลือกเปลือกหอย” ดร.จิรยุทธ กล่าว แม้ธุรกิจของขวัญ ของชำร่วยจะไปได้ แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ดร.จิรยุทธมองว่าอาจจะถึงทางตัน โดยเฉพาะหลังจากประเทศจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก (WTO) นับตั้งแต่ปี 2543 จึงมีแนวคิดต่อยอดจากหอย ด้วยการสร้างให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา จากความคิดเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจผสมผสานเข้ากับจินตนาการและพรสวรรค์ ทำให้เกิด Shelldon หอยที่มีชีวิตชีวาและกำลังโลดแล่นอยู่บนหน้าจอทีวี จากฝีไม้ลายมือของ ดร.จิรยุทธ และจากแนวคิดนี้จึงมีคนรอบข้างตั้งฉายาให้แล้วว่า “ดอกเตอร์ ผู้ขายหอย” บทสัมภาษณ์ต่อจากนี้เป็นการเปิดมุมมองและแสดงที่มาที่ไปของความทุ่มเทในการสร้างงานตัวการ์ตูน Shelldon ให้เข้ามาโลดแล่นในแวดวงบันเทิงและการผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ต่างๆ รวมทั้งการเผยความฝันและความทะเยอทะยานของดร.จิรยุทธ ทำไมต้องเป็น Shelldon ตอบโจทย์ 2 อย่าง คือ เรื่องของธุรกิจว่าเขาต้องการสร้างแบรนด์ให้กับธุรกิจ Shell Hut ซึ่งเป็นธุรกิจของขวัญ ของชำร่วยของครอบครัวตัวเอง และเป็นเรื่อง Passion หรือความต้องการของเขาเอง ที่อยากจะส่งข้อความดีๆ ไปสู่ทั่วโลก ความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัว อยากให้คนอื่นด้วย ก็เลยคิดว่าการทำให้หอยเกิดมีชีวิตขึ้นมา สามารถตอบโจทย์ต่างๆของเขาได้จริง ต่อจากนั้น ดร.จิรยุทธ เริ่มคิดว่าการ์ตูนหอยยังไม่เคยมีใครทำ รวมถึงการ์ตูนอื่นๆ ก็ไม่เคยทำมาก่อน ก็เลยลองมาดูว่ามีจิ๊กซอว์อะไรที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการทำการ์ตูนหอยได้บ้าง เขาเริ่มค้นคว้าในเว็บไซต์ราวๆ 300 เว็บไซต์ พบว่าไม่เคยมีใครทำการ์ตูนหอย มีแต่การ์ตูนกุ้ง ปู ปลา ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจทำการ์ตูนหอย หอยมีความพิเศษ มีความมหัศจรรย์ที่คนไม่เคยรู้มาก่อน เช่น ใครจะรู้ว่าหอยสามารถช่วยชีวิตคนจากเหตุการณ์สึนามิหรือจากแผ่นดินไหวที่กำลังจะเกิดขึ้น เรื่องราวเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดอยู่ในเรื่อง Shelldon อะไรคือสิ่งดลใจให้ลาออกจากอาชีพอาจารย์แล้วมาสร้าง Shelldon ผมไม่เคยทำงานแอนิเมชั่นมาก่อน แต่มีความใฝ่ฝันอยากจะทำ และครอบครัวสนับสนุนเต็มที่ ช่วงที่เป็นอาจารย์อยู่ที่คลิฟแลนด์ โอไอโอ สอนวิชาสถิติ สอนวิชาไฟแนนซ์ แต่ก็ตัดสินใจว่ากลับมาเลยดีกว่า มาลุยตรงนี้เลย เพราะคิดว่าต้องการทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้น ช่วงที่สอนหนังสือ ผมค้นพบสัจธรรมบางอย่าง คือ ทำไมนักเรียนไทย นักเรียนเอเชียเรียนหนังสือเก่งมาก ขณะที่ฝรั่งเป็นฐานให้เรา โดยเฉพาะวิชาคำนวณ แต่เมื่อจบมาแล้วกลับให้ฝรั่งเป็นผู้นำหมดเลย ในชีวิตจริงเขากล้าตัดสินใจ จะผิดจะถูกอย่างไรเขากล้าตัดสินใจ ในขณะที่คนเอเชีย คนไทย ไม่ค่อยกล้าแสดงออกกลัวจะผิด กลัวจะพลาด ทำให้ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะให้คนเอเชียเป็นผู้นำฝรั่งบ้าง ก็เป็นที่มาของโปรเจ็กต์ Shelldon ก้าวแรกที่จับเรื่องของแอนิเมชั่น เริ่มจากอะไรก่อนอย่างแรก ผมเริ่มค้นคว้าข้อมูลจากเว็บไซต์ ในช่วงที่เรียนปริญญาเอกบอกได้เลยว่าตัวผมไม่ได้เป็นคนเก่งกล้าสามารถอะไร แต่เป็นคนที่อยากทำตามฝันที่ฝันไว้ เลยคิดว่าด้วยความที่ไม่รู้ก็ต้องทำวิจัย จะทำอย่างไรเพื่อให้ประสบความสำเร็จ เมื่อทำไปแล้วรู้เลยว่าสัจธรรมที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในหนังสือ ทุกวันนี้ข้อมูลของงานเก็บไว้เยอะมาก อย่างงาน Artwork ของตัวละครแต่ละตัวเก็บเป็น 10 แฟ้ม อย่าง Shelldon มีเป็น 100 กว่าแบบ พูดได้หรือไม่ว่า Shelldon เป็นไอเดียของคนไทย พูดได้เลยว่าเป็นไอเดียของครอบครัวผม ทีมงานทุกคน เพราะว่าเรามีความฝันเหมือนกัน เพราะอยากจะส่งข้อความดีๆ ไปให้คนที่เรารู้จัก แล้วก็คนที่เราจะรู้จักในอนาคตก็เลยเกิดเป็น Passion ที่รวมตัวกันขึ้นมาของทีมงาน แล้วสร้างเป็น Shelldon กับเพื่อนๆ ขึ้นมา จริงๆ แล้วผมไม่ได้คิดว่าจะทำเป็นแค่การ์ตูนเรื่องหนึ่ง เมื่อฉายเสร็จแล้วก็จบ แต่อยากให้การ์ตูนเป็นทูต หรือ Ambassador เป็นสิ่งดีๆ ตอบแทนให้กับสังคม ดังนั้นในตัว Shelldon กิจกรรมของ Shelldon และเพื่อนๆ ที่จะทำในเมืองไทย จะตอบโจทย์ คือ Giving เท่ากับการให้ Shelldon จะเป็นผู้ให้ที่ดีของสังคม ถัดจากนั้นคือ Self Identifying เท่ากับการค้นพบตัวเอง เราอยากจะให้คนเห็นว่า ตัวการ์ตูนตอนแรกหลังจากที่เขาไม่ค้นพบตัวเอง เขาทำสิ่งต่างๆ ได้ขนาดหนึ่ง แต่เมื่อเขาค้นพบตัวเองแล้ว เขาจะสามารถดึงศักยภาพของตัวเองขึ้นมาทำสิ่งต่างๆ ได้อีกมาก ประเด็นสุดท้าย คือ คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกันมากๆ คือ Global Warming เท่ากับภาวะโลกร้อน ซึ่งถ้าถามว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว หรือไกลตัว ถ้าถามผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่พอไปถามเด็ก เด็กอาจจะเห็นเป็นเรื่องไกลตัว ปล่อยให้เป็นเรื่องของพ่อแม่ เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ภาวะโลกร้อนให้เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากที่สุด ผมเลยดึงเอาภาวะโลกร้อนให้เข้ามาใกล้วตัวเด็ก เข้าใกล้ตัวผู้ชม เพื่อให้เห็นความสำคัญก่อนว่า เราจะมาร่วมกันแก้ภาวะโลกร้อนได้อย่างไร ก็จะมีกิจกรรมในเรื่องของเพลง เช่นเวลาคนฟังดนตรีเพราะๆ จะทำให้จิตใจเบิกบาน ลดภาวะโลกร้อนได้ หรือแม้กระทั่งการนั่งสมาธิ การนั่งสงบจิต สามารถช่วยภาวะโลกร้อนได้ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าจะเป็นคนสร้างการ์ตูนแอนิเมชั่น ผมมีความคิดอยากทำโน่น อยากทำนี่ เด็กๆ มีความใฝ่ฝัน เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ลงมือทำ แต่เมื่อมาถึงช่วงที่เป็นอาจารย์ที่อเมริกา มีความรู้สึกว่าคิดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำแล้ว และปรึกษากับครอบครัว เรามีธุรกิจตรงนี้อยู่แล้วเห็นว่าเป็นเวลาที่ต้องทำแล้ว เริ่มต้นจากกระดาษไม่กี่แผ่น แล้วก็ไปหาผู้ลงทุน (Investor) เพราะการที่จะทำหนัง การที่จะทำให้ตัวละครเกิดจะต้องมีสื่อให้เกิด และสื่อที่ดี ก็คือ สื่อทีวี หรือว่าเป็นหนังใหญ่ซึ่งงบประมาณที่ใช้เยอะมาก แล้วเราก็ไม่เคยทำมาก่อน แต่จะทำอย่างไรจะฝ่าด่าน เอาชนะอุปสรรคในใจตัวเองออกไปได้ ช่วงนั้นก็คิดเหมือนกันและต้องคิดตัดสินใจลาออกจากชีวิตของการเป็นอาจารย์ที่มั่นคงในระดับหนึ่ง เป็นอาจารย์ทำงานอาทิตย์ละ 6 ชั่วโมง สอน 2 วิชา วิชาหนึ่งราวๆ 3 ชั่วโมง แต่เมื่อมาทำงานตรงนี้จะเรียกว่ากลับด้านกันไปเลย นอนอาทิตย์ละไม่กี่ชั่วโมง แต่สนุก ช่วงนั้นเลยคิดว่าจะทำอย่างไรให้โปรเจ็กต์นี้ประสบความสำเร็จก็ต้องไปคุยกับผู้ลงทุน แล้วให้มาร่วมงานด้วย เพราะเราอุตส่าห์เรียนทางไฟแนนซ์ แต่มาทำตรงนี้เป็นคนละอย่างกัน ระหว่างงานอาร์ตกับงานวิชาการ ผมมาดูที่ Production กับ Distribution คือ Production ทำการ์ตูนออกมาอย่างไร ให้คนดูเขาดูแล้วปิ๊ง แล้วต้องขายได้ด้วย ก็เลยมองตั้งแต่ Production เริ่มตั้งแต่เนื้อเรื่องต้องสนุก แล้วต้องมองว่ากลุ่มลูกค้าคือใคร ตลาดอยู่ที่ไหน ตลาดแอนิเมชั่นในต่างประเทศ อเมริกา แคนนาดา ยุโรป กินไปแล้ว 80% เอเชียมี ญี่ปุ่น เกาหลี จีน 10% กว่าๆ ส่วนออสเตรเลีย นิวซีแลนด์มีส่วนแบ่งเล็กน้อยขณะที่เมืองไทยไม่ถึง 1% เพราะฉะนั้นถ้าจะทำหนังดี มีคุณภาพ เพื่อจะประกาศไปปักธงไว้ ก็คือ ต้องลงทุนมากกว่าปกติ แต่ต้องหาตลาดได้ เมื่อเริ่มจากตอบโจทย์เรื่องกลุ่มเป้าหมาย ก็สรุปออกมาว่าหนังจะเป็น 3D เสร็จแล้วมามองที่เนื้อเรื่อง มุขต่างๆ ต้องสอดคล้องกันก็เลยเป็นที่มาของการต้องทำความรู้จัก คือมีเพื่อนๆ ของผมตอนที่อยู่เมริกา เข้ามาช่วยแนะนำคนที่ฮอลลี่วู๊ด และคนที่อังกฤษก็เริ่มให้เขียนเนื้อเรื่องตาม Outline ซึ่งเนื้อเรื่องประมาณ 3 หน้ากระดาษ ทั้งเนื้อเรื่อง ทำนอง คอนเซ็ปต์ของเพลง หรือว่าคาแรคเตอร์ต่างๆ เราก็กำหนดให้ แล้วให้ทีมงานไปพัฒนาขึ้นมา มาถึงคาแรคเตอร์ เพราะเปลือกหอยไม่เคยมีใครทำมาก่อน เคยไปจ้างเพื่อนที่ทำ Freelance ให้กับดิสนีย์วาดตัวการ์ตูนหอยขึ้นมา ปรากฏว่าไม่โดนเพราะเขาเอาเปลือกหอยขึ้นมาแล้วไปวาดตาบนเปลือก ยังไม่เป็นแนวใหม่ขึ้นมาสำหรับผม เลยคิดว่าให้ Designer ที่ Shell Hut ที่มีความคุ้นเคยกับเปลือกหอยดำเนินการ เปิดตัว Shelldon อย่างไร ตอนสร้างคาแรคเตอร์การ์ตูน ผมพบว่ามีมากเลย แต่การ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมีไม่เยอะ แล้วการ์ตูนลักษณะไหนที่จะประสบความสำเร็จ ผมเลยค้นคว้าข้อมูลอีกครั้งในปี 2546 ถึง 2548 เคยไปออกงาน TAM (Thailand Animation) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงแรกๆ ปรากฏว่าสร้างความฮือฮากันมา และมีคนสนใจขอเทกโอเวอร์ Shelldon ผมรู้ว่าตลาดจริงๆ อยู่ที่อเมริกา ยุโรป แคนนาดา เลยตัดสินใจไปโรดโชว์เพื่อทดสอบตลาด โดยนัดคนที่ฮอลลีวู้ดมาเจอกันที่ร้านอาหารแถบ Beverly Hill คุยเสร็จเขาบอกการ์ตูน Shelldon น่ารัก คอนเซ็ปท์เขาให้ A+ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่คาแรคเตอร์เขาให้ B+ ผมถามว่าทำไม เขาพูดว่าคุณรู้ไหมการ์ตูนในโลกนี้มีกี่สตูดิโอ แล้วแต่ละสตูดิโอผลิตการ์ตูนออกมารวมกันเป็นล้านๆ แต่แจ้งเกิดได้กี่ตัว เขาบอกว่าการ์ตูนที่ดีต้องมีบุคลิกภาพที่ชัดเจนที่แสดงบุคลิกภายในออกมา แล้วทำให้มีชีวิตขึ้นมา เป็นคำตอบว่าทำไมผมถึงใช้เวลา 8 ปี ในการพัฒนาคาแรคเตอร์ดีไซน์ จนกระทั่งถึงเจ้า Shelldon ในปัจจุบัน Shelldon เอื้อประโยชน์กับธุรกิจของครอบครัวได้มากน้อยไหน จริงๆ แล้วที่ผ่านมา 8 ปี มีการทำหนังตัวอย่าง หนังตัวอย่างแบบสั้น ยาว ลองผิดลองถูกกันมาเยอะ มีการใช้หลายสตูดิโอพอสมควร ที่เมืองไทยก็เคยมีการร่วมงานกับ ImagineMax รวมถึง กันตนา วิทิตา ที่มีความปรารถนาสร้างสรรค์การ์ตูนไปโกอินเตอร์ พวกเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือไม่ต้องการมองว่าเป็นคู่แข่ง แต่พวกเราจะร่วมงานกันอย่างไร เพื่อให้โปรเจ็กต์ใหม่ของคนไทยเกิดขึ้น ถ้ามัวแต่แข่งกันเอง เหยียบย่ำกันจะไปไม่ถึงไหน ตอนนี้ผมใช้บริการสตูดิโอ B-Boyd ของคุณบอย โกสิยพงษ์ เมื่อทุกคนที่เห็นโปรเจ็กต์ Shelldon อยากทำ แล้วเมื่อบอกว่าพวกเราอยากไปปักธงที่เมืองนอก ทุกคนยิ่งทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่ และทำงานกันอย่างดี แต่เรามีข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องการเพื่อส่งให้ทางต่างประเทศค่อนข้างเยอะว่าต้องได้แบบนี้ ก็เลยเข้าไปคุยงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้งานตามคุณภาพที่ต้องการ นอกนี้ผมยังใช้สตูดิโอที่สิงคโปร์และไต้หวันด้วย ด้วยความที่ผมกับทีมงานอยากให้คนไทยได้ดูก่อนว่านี่เป็นโปรเจ็กต์ของคนไทย คนไทยได้ดูก่อน จากนั้นช่วงฤดูร้อนปีหน้าคนต่างชาติจะได้ดู เงินลงทุน Shelldon โปรเจ็กต์นี้เริ่มมาแล้ว 8 ปีที่แล้ว ผมใช้เงินลงทุนปีละ 10 ล้านบาท ที่แพงจะเป็นข้อมูล การวิจัย หาทีมงาน โดยพวกเราใช้เงินประมาณ 1 แสนเหรียญสหรัฐต่อตอน (22 นาที) ขณะที่ฝรั่งใช้ราวๆ 5 แสนเหรียญสหรัฐ แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพแล้วสูสีกัน แต่ต้องอาศัยประสบการณ์เล็กน้อย ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 80 ล้านบาท ถือว่าเป็นการลงทุนที่สำคัญที่สุดในชีวิต ผมว่าลงทุนมากที่สุด ตัวเม็ดเงินบางคนอาจจะมองว่าเป็นจำนวนมาก แต่ผมมองว่า จริงๆ แล้ว คือ เอา “ใจ” ไปลงทุน ซึ่งสำคัญที่สุด คือ เม็ดเงินบางครั้งเราลงทุนไปแล้ว ปีละ 10 ล้าน 20 ล้านบาท แต่เมื่อไรก็ตามที่ “ใจ” เรายอมแพ้ เม็ดเงินจะสูญเปล่า วันนี้ผมลงไปแล้ว 80 ล้านบาท แต่ถ้าสมมติออกมาไม่ได้แบบที่คาดไว้ ผมต้องยอมรับว่า ได้พยายามแล้ว ได้ศึกษาข้อมูลอย่างเต็มที่ อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหมายไว้ แต่จริงๆ เราก็มีการป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ไว้หมดแล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งมีเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้วไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เราสามารถรับได้แค่ไหน ซึ่งก็มาคุยกันทั้งผมและทีมงาน ครอบครัว ทุกคนบอกว่าลุยเลย ตรงนี้ คือ การลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะผมมองว่าเม็ดเงินที่ลงทุนไป ไม่ว่าจะเป็น 10 ล้าน 80 ล้าน หรือ 100 ล้านบาท สุดท้ายเราคาดว่าสามารถดึงกลับมาได้ ถ้าโปรเจ็กต์นี้ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าใจที่ลงไปแล้วถ้าเกิดยอมแพ้ดึงกลับมายาก คิดอย่างไรกับ ชีวิต คือ การลงทุน การลงทุนของผม ของทีมงานและของครอบครัว นอกเหนือจากใจที่ลงไปแล้ว ยังเป็นเรื่องของ Abstract แต่การลงทุนจริงๆ คือ ต้องกล้าที่จะลง กล้าตัดสินใจ ถึงแม้ว่าปีหนึ่งๆ ต้องลงทุนเป็น 10 ล้านบาท ผมมองว่าการลงทุนเป็น Asset หรือ Property ระยะยาว ในอนาคตไม่ว่าตัวผม บริษัท หรือตัวการ์ตูนที่ทำอยู่ หรือบริษัทอื่นๆ ที่เป็นเหมือนประตูให้กับธุรกิจแอนิเมชั่น เขาไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกแล้ว เพราะเราลองและทำให้หมดแล้ว ผมเห็นด้วยมากๆ กับประโยคที่ว่า ชีวิต คือ การลงทุน เพราะว่าการลงทุน คือ ความที่เรากล้ารับความเสี่ยง เพราะถ้าเราไม่กล้ารับความเสี่ยง เราจะไม่กล้าลงทุน การลงทุนจะไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างมีความเสี่ยง อาจจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ แต่จะต้องมีความเสี่ยงอยู่แล้ว ความเสี่ยงอาจจะเกิดจากปัจจัยที่เราคุมได้ หรืออาจจะคุมไม่ได้ก็ได้ การที่ทำการวิจัยศึกษาข้อมูลจะช่วยป้องกันความเสี่ยงและป้องกันความเสี่ยงของผู้ลงทุนในโปรเจ็กต์ของเรา เพราะอาจจะบอกว่าเรารับได้นะ เพราะมีการฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันไว้เรียบร้อย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความมั่นคงกับผู้ลงทุน ซึ่งต้องตอบโจทย์ตรงนี้ว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดแปลก แหวกแนวเกิดขึ้น ทุกคนแฮปปี้ พวกเราต้องการไปปักธงไทย “Thaitoon to the World” และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปที่เมืองคานส์ ก็เอาโปรเจ็กต์นี้ไปโชว์ และได้มีการนัดพบตัวแทนจำหน่ายทั้งหมด ปรากฏว่าต่างคนต่างถูกใจกันและกัน อีก 2 ปีข้างหน้าจะได้ชมพร้อมกันทั่วโลก ปี 2553 Shelldon จะสร้างเสร็จเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นและฉายทั่วโลก แต่ผมก็ยังเป็นตัวกระจ้อยหนึ่งในโลก แต่ในหนังของผมจะมีคำหนึ่งที่ว่า “One Gain Us Stand” คือ เม็ดทรายเม็ดเดียว อาจจะไม่เห็นคุณค่า ลมพัดก็ปลิว แต่ใครจะรู้บ้างว่าเม็ดทรายรวมตัวกันแล้วจะเกิดเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ รวมตัวกันเป็นหอยมุก ถ้าหอยมุกไม่มีทรายที่ขับเคลื่อน ก็จะไม่มีมุก เพราะฉะนั้นเราถึงมาร่วมกันทำความดี ร่วมกันทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ผมถึงจะมีประโยคที่ใช้กับตัว Shelldon ตลอดนะครับ ก็คือ “Together is a brand new day” source:http://www.moneychannel.co.th/Menu5/ชวตคอการลงทน/tabid/132/newsid773/68995/Default.aspx |
No comments:
Post a Comment