Thursday, September 30, 2010

เปิดตัวแล้วกับ BlackBerry Tablet ที่ชื่อว่า BlackBerry Playbook ซึ่งเปิดตัวที่งาน DEVCON 2010 ที่ ซาน ฟรานซิสโก คืนวันที่ 27 กย ตามเวลาในเมืองไทย ปรากฎว่า BlackBerry ก็มาตามสัญญาใจที่ให้ไว้ ควงคู่เอา BlackBerry PlayBook เครื่องในรูปแบบ Tablet รุ่นล่าสุด ซึ่งทาง BlackBerry คุยว่ามันคือ Tablet ที่ทำงานได้เร็วที่สุดในโลในเวลานี้ ซึ่งเท่าที่ผมลองอ่านดูจาก Spec แทบอยากจะวาง iPad ไว้แล้วหันไปหยิบ BlackBerry รุ่นนี้มาใช้เลย  โดยในงาน Research In Motion's annual BlackBerry Developer Conference  เมื่อคืนนี้ ทาง CEO ของ BlackBerry  มิสเตอร์ Mike Lazaridis ได้เปิดตัวเครื่อง Playbook รุ่นใหม่  โดยเป็น Tablet ที่ทำงานบน OS ของ QNX ซึ่งก็คือบริษัท QNX Software Systems ที่ทาง Blackberry ไปซื้อกิจการมาเมื่อไม่นานนี้เอง  โดย OS นี้เน้นรองรับคำสั่งต่างๆที่สำคัญเช่น OpenGL ซึ่งเป็นชุดคำสั่ง ที่ช่วยในการทำงานประมวลผลและแสดงผล ทำให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ส่วนมากจะใช้ในงานด้าน  3D/CAD/CAM/CAE เช่น SolidWorks, Pro/E, Catia, 3dMax, Maya Etc. เดี๋ยวนี้เริ่มมีการนำไปใช้กับเกม และรองรับ POSIX  ที่ร่วมกับ HTML 5   และแน่นอนว่าอาวุธชั้นดีทรงอาณุภาพที่สุดในการที่จะฆ่า iPad ก็คือ BlackBerry PlayBook รองรับการทำงานเต็มระบบของ Flash 10.1 รวมถึง Adobe AIR apps





แต่เพียงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ กลับมีคู่แข่งรายใหม่ๆออกมาเขย่าขวัญพี่ใหญ่จากตระกูล iDevice กันอย่างต่อเนื่องทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น HP Slate ที่มีวิดีโอหลุดออกมายั่วน้ำลายแฟนๆ ตามมาด้วย Samsung Tab ที่ได้ฤกษ์เปิดตัวทั่วโลก ก่อนที่เมื่อวานนี้ทางด้านของ BlackBerry จะเผยโฉม PlayBook แทบเลตตัวใหม่ออกมา
ว่าแล้วเราก็เลยมาลองเทียบกันหัวต่อหัว head-to-head กันทั้งหมด 4 ค่ายไม่ว่าจะเป็น iPad, PlayBook, Samsung Tab และ HP Slate ว่าใครจะแน่กว่ากันในแง่ของฮาร์ดแวร์ตัวเครื่อง










Saturday, September 4, 2010

Flipboard


ทุกวันนี้ ในการติดตามข่าวสารในอินเตอร์เน็ต คิดว่าทุกคนคงไม่ปฏิเสธว่าเมื่อเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา เรามักจะเปิด Facebook เป็นเว็บแรก จริงมั้ยครับ และมีอีกหลายคนที่เล่น twitter ก็จะเปิดอ่านผ่านหน้าเว็บบ้าง เปิดโปรแกรมอ่าน twitter ทั้งใน PC หรือในมือถือบ้างก็มีเยอะ และที่รองลงมาจาก 2 ตัวข้างต้น ก็จะมีคนที่อ่านข่าวจาก rss feed อีกจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
iPad เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้อ่านข่าวสารบนอินเตอร์เน็ต เมื่อข่าวที่เราอ่านบ่อยที่สุดเป็น Facebook และ Twitter แล้วล่ะก็ App บน iPad ตัวไหนที่จะสร้างประสบการณ์การอ่านที่เจ๋งที่สุด วันนี้ Techmoblog.com ขอแนะนำให้รู้จักกับ Flipboard ครับ


flipboard_app_ipad
FLIPBOARD เป็น APP ที่เลียนแบบหน้าตาของนิตยสารครับ โดยมีการจัดเลียงคอลัมด์ต่างๆดังรูปครับ
flipboard_app_ipad2


แต่ความพิเศษของมันอยู่ตรงที่ เนื้อหาที่ปรากฏเป็นคอลัมด์ต่างๆนั้น เอามาจาก feed ใน facebook ของเราครับ โดยการที่เรา log in user ของเรา เจ้า Flipboard จะทำการดึงเอา feed ที่อยู่ในหน้า wall ของเราออกมาโชว์ในรูปแบบนิตยสารครับ (รูปที่เพื่อนเราโพสจะถูกนำมาเรียงสวยงาม เหมือนอ่านนิตยสารดีๆเล่มนึงเลยนะครับ)

ผมทดลองใช้ดูแล้ว Flipboard แสดงข่าวเพื่อนๆได้สวยงามมากครับ
ผมทดลองใช้ดูแล้ว Flipboard แสดงข่าวเพื่อนๆได้สวยงามมากครับ



หรือจะเป็น twitter ก็ทำได้เช่นเดียวกัน


flipboard_twitter
ที่สำคัญ Flipboard เป็น App Free ครับ ใครที่มี  iPad อย่าช้าเลยครับ รีบโหลดมาเล่นกันเถอะ ^^

from: http://www.techmoblog.com/flipboard-ipad-social-reader/

Apple เปิดตัว iPod / Apple TV

เป็นอันว่า Apple ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ๆส่งท้าย 2010 เรียบร้อยแล้ว 


    หลังจากที่ Apple ประกาศจะแถลงข่าววันที่ 1 กันยายน แน่นอนว่า สาระสำคัญของงานนี้ คือการที่ iPod ทั้งหมด ครบวาระที่ต้องเปลี่ยนโฉมซะที รวมถึงสินค้าข่าวลืออย่าง Apple TV ก็มีลือๆว่าเปิดตัวเช่นกัน นอกจากนี้ ตามสไตล์ Apple ที่ต้องมีเล่าอัพเดทสารพัดสิ่งก่อนเปิดงาน ก็มีให้ได้ชมด้วยเช่นกัน

     ก่อนเปิดงาน ถือเป็นเรื่องเซอร์ไฟรส์เล็กๆ เมื่อผู้ร่วมก่อตั้ง Apple อย่าง Steve Wozniak ก็มาร่วมงานด้วย เริ่มต้นงาน Steve Jobs เริ่มแถลงความสำเร็จของ iOS ที่สามารถทำยอดผู้ใช้รวมทุกอุปกรณ์ได้ถึง 120 ล้านเครื่อง โดยในหนึ่งวัน จะมีผู้ใช้ iOS เพิ่มใหม่ วันละ 230,000 คน (นัยว่ามาข่ม Android นั้นเอง) เมื่อมาดู App ใน App Store ตอนนี้ก็มีถึง 250,000 ตัว มียอดโหลดไปแล้วกว่า 6.5 ล้านครั้ง เท่ากับมีการโหลดสองร้อยครั้งต่อวินาที!!!





      สิ่งต่อมา Jobs กล่าวถึง iOS 4.1 ของ iPhone / iPod Touch ที่แก้ไขปัญหา Proximity Sensor แก้ปัญหา Bluetooth แก้ปัญหาอาการเต่ากัดยางใน iPhone 3G รวมถึงเพิ่มความสามารถใหม่อย่าง HDR Photo (High Dynamic Range) ทำให้การถ่ายรูปหนึ่งรูป สามารถได้รูปสามแบบ highlight / shadows / midranges รองรับการอัพโหลดวีดีโอแบบ HD ผ่าน Wi-Fi และมี Game Center ที่เกมต่างๆ จะอัพเดทให้รองรับการเล่นแบบออนไลน์แช่งกัน นอกจากนี้ Jobs ยังกล่าวถึง iOS 4.2 ของ iPad แบบเล็กๆน้อยๆ โดยลูกเล่นต่างๆของ iOS4 จะรองรับใน iPad ทั้งหมด สิ่งที่เพิ่มขึ้นใน iPad คือการรองรับการใช้งานแบบไร้สาย ไม่ว่าจะปรินท์งานผ่าน Wi-Fi เล่นไฟล์มีเดียต่างๆผ่าน Wi-Fi ไปยังอุปกรณ์อื่นๆ สำหรับ iPad 4.2 รวมถึง Firmware 4.2 ใน iOS อื่นๆ จะเริ่มปล่อยในเดือนพฤศจิกายนนี้












     สิ่งต่อมา Jobs กล่าวถึง iPod ใหม่ ที่พูดแบบเนื้อๆจริงๆ โดยเริ่มที่ Shuffle โดยที่ สามรุ่นที่ผ่านมาลูกค้าชอบการใช้งานปุ่มของรุ่นที่สอง ชอบการใช้งานเสียงของรุ่นที่ผ่านมา ทำให้รุ่นใหม่ จึงนำปุ่มกับการใช้งานเสียงมารวมกัน ทำให้ iPod Shuffle รองรับการใช้งานปุ่ม รองรับการใช้งาน Voiceover ในการสั่งงาน ฟังชื่อเพลง สนทราคาของ Shuffle รุ่นใหม่นี้ อยู่ที่ $49 (ประมาณ 1,500 บาท) มีห้าสี และมีความจุแค่ 2GB เท่านั้น







      iPod รุ่นต่อมา นั้นคือ Nano สำหรับในรุ่น Nano นั้น Jobs กล่าวว่าสิ่งที่ผู้ใช้ทุกคนชอบ นั้นคือความเล็ก อเนกประสงค์ ทำให้ Nano รุ่นใหม่นี้ จัดการตัด ClickWheel ออกให้เหลือเพียงแค่จอ ทำการปรับจอให้เป็นแบบสัมผัส Mutitouch ลูกเล่นการใช้งานจะคล้ายกับรุ่นที่แล้ว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ การใช้งานจะเป็นการสัมผัสลงไปที่จอ รองรับการปรับแต่งเมนูด้วยตัวเอง สามารถใช้สองนิ้วในการหมุนจอเพื่อปรับมุมมอง และตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียมพร้อมคลิปหนีบแบบ Shuffle สนทราคาของ Nano รุ่นใหม่นี้ จะอยู่ที่ $149 ในรุ่น 8GB (ประมาณ 4,700 บาท) ส่วนรุ่น 16GB จะมีสนทราคาอยู่ที่ $179 (ประมาณ 5,700 บาท) มีสีให้เลือกหกสี และสีแดงยังเป็นสีพิเศษที่ไม่มีขายในร้านเช่นเดิม












      iPod รุ่นต่อมาที่มีการเปลี่ยน นั้นคือ iPod Touch โดยก่อนแนะนำ Jobs กล่าวถึงความสำเร็จของ Touch ที่สามารถมีส่วนแบ่ง 50% ของตลาดเครื่องเล่มเกมพกพา สำหรับรุ่นที่สี่ของ iPod Touch นี้ งานออกแบบตัวเครื่อง มีขนาดที่บางเหลือแค่ 0.28 นิ้วเท่านั้น ส่วนความสามารถของเครื่อง แทบจะเรียกว่ายกความเด็ดชอง iPhone 4 มาครบถ้วน ไม่ว่าจะเรื่องจอ ไม่ว่าจะเรื่อง A4 การรองรับ Gyro และน่าจะสมหวังกับหลายๆคนที่อยากให้มีกล้อง เพราะรุ่นที่สี่ของ Touch มาพร้อมกล้องหน้าสำหรับเล่น FaceTime กล้องหลังสำหรับถ่ายวีดีโอ 720p HD แต่ถ่ายภาพนิ่งที่ความละเอียด 960x720 เท่านั้น แถมรอบนี้ใจป้ำ ความจุของเครื่องมาครบทั้ง 8GB / 16GB / 32GB ในแบบที่ได้ฮาร์ดแวร์แรงเหมือนกันหมด (รุ่นที่สามที่ผ่านมา ในรุ่น 8GB จะใช้ฮาร์ดแวร์เก่า) สนทราคาของ iPod Touch นี้ ในรุ่น 8GB อยู่ที่ $229 (ประมาณ 7,300 บาท) ในรุ่น 16GB อยู่ที่ $299 (ประมาณ 9,500 บาท) ในรุ่น 32GB อยู่ที่ $399 (ประมาณ 12,700 บาท)










       สำหรับ iPod Classic ไม่มีการอัพเดทอะไรเพิ่ม แต่ก็ยังขายต่อไปและลดราคาเหลือ $249 (ประมาณ 7,900 บาท) สำหรับ iPod ทั้งหมดที่เปิดตัวใหม่ไป สามารถสั่งของใน Store Online พร้อมกันทั้งโลกตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (รวมถึงประเทศไทย) แต่ของจะเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป

       สิ่งต่อไปที่ Jobs เพิ่มเติม นั้นคือการเปิดตัว iTunes 10 โดยสิ่งที่เปลี่ยนไป เพิ่มเติม เริ่มที่ไอคอนโปรแกรม ที่เปลี่ยนจากแผ่นซีดี เป็นตัวโน๊ตสีน้ำเงินในวงกลม ความสามารถใหม่ของ iTunes 10 คือสิ่งที่เรียกว่า Ping โดยที่ Ping จะเป็นการนำ Social Networks ต่างๆ ไม่ว่าจะ Facebook หรือ Twitter มาผสานเข้าไป ทำให้ทุกคนสามารถรู้ได้ว่า เราชอบเพลงอะไร คนอื่นฮิตเพลงอะไร แม้นแต่ศิลปินดังๆต่างๆ เราก็สามารถติดตามได้ว่า สถานะของ Social Network ของพวกเค้า เพลงที่เค้าชอบ สิ่งที่เค้าทำ ผู้ใช้งาน Ping ก็สามารถมีส่วนร่วมได้เช่นกัน แถมลูกเล่น Ping ไม่ใช่แค่ใน iTunes ในคอมพิวเตอร์เท่านั้น เพราะใน iPhone iPod Touch ก็มีลูกเล่นนี้ให้ใช้งานเช่นกัน สำหรับ iTunes 10 สามารถโหลดมาใช้งานได้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป










      แน่นอนว่า สไตล์ของ Jobs ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "One More Thing" ก็คงจะไม่ใช่แน่ แต่สำหรับครั้งนี้ Jobs กล่าวอย่างติดตลกว่า "One More Hobby" แทน ว่าแล้ว Jobs จึงเกริ่นไปที่ Apple TV โดยเจ้าตัวยอมรับว่า สี่ปีที่เปิดตัวมา เป็นสินค้าที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย ว่าแล้วพอมาดูสาเหตุที่ทำให้มันไม่นิยม พอจะสรุปได้ว่า ผู้ใช้งานเกลียดการที่ต้องมาซิงค์จากคอมลงเครื่อง แถมจะดูอะไรแต่ล่ะที ต้องคอยซิงค์ไปซิงค์มา






      Apple จึงเปิดตัว Apple TV รุ่นที่สอง ที่ขนาดเล็กลงแบบชนิดถือพกพาด้วยมือง่ายมาก รุ่นที่สองของ Apple TV จะรองรับ HDMI มีรีโมทใช้งานควบคุม รองรับการใช้งาน Wi-Fi การใช้งานทำได้ง่าย ผู้ใช้งานแค่ต่อ Apple TV เข้ากับทีวีที่บ้าน และให้ตัวเครื่องต่อ Wi-Fi เอาไว้ การซื้อความบันเทิงต่างๆ จะทำผ่านตัวเครื่องได้ทันที สำหรับราคาภาพยนตร์ที่ซื้อ จะตกเรื่องล่ะ $4.99 ดูได้หนึ่งวัน ส่วนละคร รายการทีวี ซีรีส์ต่างๆ ราคาจะอยู่ที่ $0.99 เท่านั้น ทั้งหมดที่เช่า จะเป็นไฟล์คุณภาพแบบ HD ไม่มีการโหลดไฟล์มาเก็บ การเล่นไฟล์จะเป็นการเล่นแบบ Streaming สดจากระบบส่งตรงมาที่ทีวี (นัยว่าเน็ตต้องแรงนั้นเอง) แถมข้อมูลออนไลน์ของหนังก็มีการอิงจากเว็ป Rotten Tomatos ที่เป็นเว็ปรวมคะแนนหนังเช่นกัน









        Apple TV ใหม่ ยังรองรับการดูวีดีโอออนไลน์หรือสื่อบันเทิงต่างๆ ไม่่ว่าจะ Netfrix / Youtube / frickr / Mobileme ผู้ใช้สามารถโหลดวีดิโอ ภาพ ความบันเทิงจากเว็ปเหล่านี้ดูที่ตัวเครื่องได้ทันที เช่นเดียวกัน ผู้ใช้งานสามารถดึงข้อมูลความบันเทิงต่างๆที่มีในเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้มาเล่นที่หน้าจอทีวี โดยไม่ต้องซิงค์มาใช้งาน นอกจากนี้ Apple TV ใหม่ ยังรองรับ AirTune ที่เป็นความสามารถของ iPad ทำให้ความบันเทิงต่างๆ สามารถเปิดจาก iPad แต่ให้แสดงผลที่หน้าทีวีที่ใช้งานได้ทันที เรียกว่า เพลง หนัง รายการทีวี รูป เพลง งานนี้ Apple TV ขอแก้มือกันใหม่ สำหรับสนทราคาของ Apple TV จะอยู่ที่ $99 (ประมาณ 3,100 บาท) สามารถสั่งจองได้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป และวางขายในอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้ไป






      หลังงานแถลงข่าว มีคอนเสิร์ตแบบเล็กๆโดย Chirs Martin นักร้องนำวง ColdPlay วงร็อกชื่อดังจากอังกฤษ มาร้องเพลงเป็นการปิดงาน...แถม Chris ใส่เสื้อที่มีภาษาไทยด้วยนะครับ^^


       สำหรับงานเปิดตัวส่งท้ายปี 2010 ของ Apple ก็จบลงเพียงเท่านี้ ฤดูเสียเงินก็กลับมาเจอกันจนได้ เชิญซื้อตามอัธยาศัยกันนะครับ^^

ข้อมูลจาก http://www.mxphone.com/update/7151/Apple-iPod-Apple-TV
เรียบเรียงโดย : zipboy
อ้างอิงจาก : Apple

Wednesday, September 1, 2010

Shelldon

ดร.จิรายุทธ ชุษณะโชติ ลงทุนด้วยใจกับ Shelldon การ์ตูนของไทยที่จะไปไกลระดับโลก
Posted on Saturday, October 18, 2008



80 ล้านบาท เป็นค่าตัวของ “Shelldon” หอยพระอาทิตย์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากจินตนาการของ ดร.จิรยุทธ ชุษณะโชติ และเป็นภาพยนตร์การ์ตูน “The Shelldon” ที่กำลังแพร่ภาพทางช่อง 3 และได้รับความนิยมและกล่าวถึงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังจะมีการพัฒนาเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ออกฉายทั่วโลกในอีก 2 ปีข้างหน้า และนั่นทำให้ค่าตัวของหอยพระอาทิตย์ตัวนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

ทุกวันนี้ดร.จิรยุทธ ชุษณะโชติ ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ถ้าเอ่ยชื่อถึงการ์ตูน “The Shelldon” ที่กำลังฉายอยู่ช่อง 3 ยังเป็นที่รู้จักกันมากกว่า หากจะบอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้มีจุดกำเนิดมาจากจินตนาการของ ดร.จิรยุทธ ที่ยอมละทิ้งหน้าที่อันมั่นคงเพื่อแสวงหาความฝันของตัวเอง

The Shelldon เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ทันยุคทันสมัย ตอบโจทย์กระแสโลกร้อน (Global Warming) ในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยนำเสนอผ่านตัวเอกที่เป็นหอยพระอาทิตย์ในการปกป้องท้องทะเล ซึ่งถูกจินตนาการขึ้นจาก ดร.จิรยุทธ ขณะที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือในวิชาสถิติและไฟแนนซ์ อยู่ที่ Cleveland State University, Ohio สหรัฐอเมริกาฯ

ถึงแม้จะอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ ดร.จิรยุทธ ไม่ทิ้งเรื่องธุรกิจเพราะพื้นฐานของครอบครัวชุษณะโชติทำธุรกิจของขวัญ ของชำร่วยเรซินเพื่อส่งออก ภายใต้แบรนด์ “Shell Hut” โดยผลิตมาจากเปลือกหอยชนิดต่างๆ ซึ่งหน้าที่ของดร.จิรยุทธ คือ ดูแลการตลาดต่างประเทศ

“เริ่มมาจากความที่รักทะเล ตอนเด็กๆ คุณพ่อ คุณแม่ ชอบพาพี่ๆ น้องๆ ไปทะเลก็เลยมีความรู้สึกว่าถ้าจะทำธุรกิจซักอย่างน่าจะเป็นธุรกิจที่เรารัก ก็เลยเริ่มจากงานศิลปะ จับคอนเซ็ปต์หลักสักอย่างหนึ่งมาใส่ในงานศิลปะก็เป็นที่มาว่าพวกเราเลือกเปลือกหอย” ดร.จิรยุทธ กล่าว

แม้ธุรกิจของขวัญ ของชำร่วยจะไปได้ แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ดร.จิรยุทธมองว่าอาจจะถึงทางตัน โดยเฉพาะหลังจากประเทศจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก (WTO) นับตั้งแต่ปี 2543 จึงมีแนวคิดต่อยอดจากหอย ด้วยการสร้างให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา

จากความคิดเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจผสมผสานเข้ากับจินตนาการและพรสวรรค์ ทำให้เกิด Shelldon หอยที่มีชีวิตชีวาและกำลังโลดแล่นอยู่บนหน้าจอทีวี จากฝีไม้ลายมือของ ดร.จิรยุทธ และจากแนวคิดนี้จึงมีคนรอบข้างตั้งฉายาให้แล้วว่า “ดอกเตอร์ ผู้ขายหอย”

บทสัมภาษณ์ต่อจากนี้เป็นการเปิดมุมมองและแสดงที่มาที่ไปของความทุ่มเทในการสร้างงานตัวการ์ตูน Shelldon ให้เข้ามาโลดแล่นในแวดวงบันเทิงและการผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ต่างๆ รวมทั้งการเผยความฝันและความทะเยอทะยานของดร.จิรยุทธ

ทำไมต้องเป็น Shelldon
ตอบโจทย์ 2 อย่าง คือ เรื่องของธุรกิจว่าเขาต้องการสร้างแบรนด์ให้กับธุรกิจ Shell Hut ซึ่งเป็นธุรกิจของขวัญ ของชำร่วยของครอบครัวตัวเอง และเป็นเรื่อง Passion หรือความต้องการของเขาเอง ที่อยากจะส่งข้อความดีๆ ไปสู่ทั่วโลก ความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัว อยากให้คนอื่นด้วย ก็เลยคิดว่าการทำให้หอยเกิดมีชีวิตขึ้นมา สามารถตอบโจทย์ต่างๆของเขาได้จริง

ต่อจากนั้น ดร.จิรยุทธ เริ่มคิดว่าการ์ตูนหอยยังไม่เคยมีใครทำ รวมถึงการ์ตูนอื่นๆ ก็ไม่เคยทำมาก่อน ก็เลยลองมาดูว่ามีจิ๊กซอว์อะไรที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการทำการ์ตูนหอยได้บ้าง เขาเริ่มค้นคว้าในเว็บไซต์ราวๆ 300 เว็บไซต์ พบว่าไม่เคยมีใครทำการ์ตูนหอย มีแต่การ์ตูนกุ้ง ปู ปลา ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจทำการ์ตูนหอย

หอยมีความพิเศษ มีความมหัศจรรย์ที่คนไม่เคยรู้มาก่อน เช่น ใครจะรู้ว่าหอยสามารถช่วยชีวิตคนจากเหตุการณ์สึนามิหรือจากแผ่นดินไหวที่กำลังจะเกิดขึ้น เรื่องราวเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดอยู่ในเรื่อง Shelldon

อะไรคือสิ่งดลใจให้ลาออกจากอาชีพอาจารย์แล้วมาสร้าง Shelldon

ผมไม่เคยทำงานแอนิเมชั่นมาก่อน แต่มีความใฝ่ฝันอยากจะทำ และครอบครัวสนับสนุนเต็มที่ ช่วงที่เป็นอาจารย์อยู่ที่คลิฟแลนด์ โอไอโอ สอนวิชาสถิติ สอนวิชาไฟแนนซ์ แต่ก็ตัดสินใจว่ากลับมาเลยดีกว่า มาลุยตรงนี้เลย เพราะคิดว่าต้องการทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้น

ช่วงที่สอนหนังสือ ผมค้นพบสัจธรรมบางอย่าง คือ ทำไมนักเรียนไทย นักเรียนเอเชียเรียนหนังสือเก่งมาก ขณะที่ฝรั่งเป็นฐานให้เรา โดยเฉพาะวิชาคำนวณ แต่เมื่อจบมาแล้วกลับให้ฝรั่งเป็นผู้นำหมดเลย ในชีวิตจริงเขากล้าตัดสินใจ จะผิดจะถูกอย่างไรเขากล้าตัดสินใจ ในขณะที่คนเอเชีย คนไทย ไม่ค่อยกล้าแสดงออกกลัวจะผิด กลัวจะพลาด ทำให้ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะให้คนเอเชียเป็นผู้นำฝรั่งบ้าง ก็เป็นที่มาของโปรเจ็กต์ Shelldon

ก้าวแรกที่จับเรื่องของแอนิเมชั่น เริ่มจากอะไรก่อนอย่างแรก

ผมเริ่มค้นคว้าข้อมูลจากเว็บไซต์ ในช่วงที่เรียนปริญญาเอกบอกได้เลยว่าตัวผมไม่ได้เป็นคนเก่งกล้าสามารถอะไร แต่เป็นคนที่อยากทำตามฝันที่ฝันไว้ เลยคิดว่าด้วยความที่ไม่รู้ก็ต้องทำวิจัย จะทำอย่างไรเพื่อให้ประสบความสำเร็จ เมื่อทำไปแล้วรู้เลยว่าสัจธรรมที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในหนังสือ ทุกวันนี้ข้อมูลของงานเก็บไว้เยอะมาก อย่างงาน Artwork ของตัวละครแต่ละตัวเก็บเป็น 10 แฟ้ม อย่าง Shelldon มีเป็น 100 กว่าแบบ

พูดได้หรือไม่ว่า Shelldon เป็นไอเดียของคนไทย
พูดได้เลยว่าเป็นไอเดียของครอบครัวผม ทีมงานทุกคน เพราะว่าเรามีความฝันเหมือนกัน เพราะอยากจะส่งข้อความดีๆ ไปให้คนที่เรารู้จัก แล้วก็คนที่เราจะรู้จักในอนาคตก็เลยเกิดเป็น Passion ที่รวมตัวกันขึ้นมาของทีมงาน แล้วสร้างเป็น Shelldon กับเพื่อนๆ ขึ้นมา

จริงๆ แล้วผมไม่ได้คิดว่าจะทำเป็นแค่การ์ตูนเรื่องหนึ่ง เมื่อฉายเสร็จแล้วก็จบ แต่อยากให้การ์ตูนเป็นทูต หรือ Ambassador เป็นสิ่งดีๆ ตอบแทนให้กับสังคม ดังนั้นในตัว Shelldon กิจกรรมของ Shelldon และเพื่อนๆ ที่จะทำในเมืองไทย จะตอบโจทย์ คือ Giving เท่ากับการให้ Shelldon จะเป็นผู้ให้ที่ดีของสังคม ถัดจากนั้นคือ Self Identifying เท่ากับการค้นพบตัวเอง เราอยากจะให้คนเห็นว่า ตัวการ์ตูนตอนแรกหลังจากที่เขาไม่ค้นพบตัวเอง เขาทำสิ่งต่างๆ ได้ขนาดหนึ่ง แต่เมื่อเขาค้นพบตัวเองแล้ว เขาจะสามารถดึงศักยภาพของตัวเองขึ้นมาทำสิ่งต่างๆ ได้อีกมาก

ประเด็นสุดท้าย คือ คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกันมากๆ คือ Global Warming เท่ากับภาวะโลกร้อน ซึ่งถ้าถามว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว หรือไกลตัว ถ้าถามผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่พอไปถามเด็ก เด็กอาจจะเห็นเป็นเรื่องไกลตัว ปล่อยให้เป็นเรื่องของพ่อแม่ เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ภาวะโลกร้อนให้เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากที่สุด

ผมเลยดึงเอาภาวะโลกร้อนให้เข้ามาใกล้วตัวเด็ก เข้าใกล้ตัวผู้ชม เพื่อให้เห็นความสำคัญก่อนว่า เราจะมาร่วมกันแก้ภาวะโลกร้อนได้อย่างไร ก็จะมีกิจกรรมในเรื่องของเพลง เช่นเวลาคนฟังดนตรีเพราะๆ จะทำให้จิตใจเบิกบาน ลดภาวะโลกร้อนได้ หรือแม้กระทั่งการนั่งสมาธิ การนั่งสงบจิต สามารถช่วยภาวะโลกร้อนได้

เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าจะเป็นคนสร้างการ์ตูนแอนิเมชั่น

ผมมีความคิดอยากทำโน่น อยากทำนี่ เด็กๆ มีความใฝ่ฝัน เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ลงมือทำ แต่เมื่อมาถึงช่วงที่เป็นอาจารย์ที่อเมริกา มีความรู้สึกว่าคิดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำแล้ว และปรึกษากับครอบครัว เรามีธุรกิจตรงนี้อยู่แล้วเห็นว่าเป็นเวลาที่ต้องทำแล้ว

เริ่มต้นจากกระดาษไม่กี่แผ่น แล้วก็ไปหาผู้ลงทุน (Investor) เพราะการที่จะทำหนัง การที่จะทำให้ตัวละครเกิดจะต้องมีสื่อให้เกิด และสื่อที่ดี ก็คือ สื่อทีวี หรือว่าเป็นหนังใหญ่ซึ่งงบประมาณที่ใช้เยอะมาก แล้วเราก็ไม่เคยทำมาก่อน แต่จะทำอย่างไรจะฝ่าด่าน เอาชนะอุปสรรคในใจตัวเองออกไปได้

ช่วงนั้นก็คิดเหมือนกันและต้องคิดตัดสินใจลาออกจากชีวิตของการเป็นอาจารย์ที่มั่นคงในระดับหนึ่ง เป็นอาจารย์ทำงานอาทิตย์ละ 6 ชั่วโมง สอน 2 วิชา วิชาหนึ่งราวๆ 3 ชั่วโมง แต่เมื่อมาทำงานตรงนี้จะเรียกว่ากลับด้านกันไปเลย นอนอาทิตย์ละไม่กี่ชั่วโมง แต่สนุก ช่วงนั้นเลยคิดว่าจะทำอย่างไรให้โปรเจ็กต์นี้ประสบความสำเร็จก็ต้องไปคุยกับผู้ลงทุน แล้วให้มาร่วมงานด้วย เพราะเราอุตส่าห์เรียนทางไฟแนนซ์ แต่มาทำตรงนี้เป็นคนละอย่างกัน ระหว่างงานอาร์ตกับงานวิชาการ

ผมมาดูที่ Production กับ Distribution คือ Production ทำการ์ตูนออกมาอย่างไร ให้คนดูเขาดูแล้วปิ๊ง แล้วต้องขายได้ด้วย ก็เลยมองตั้งแต่ Production เริ่มตั้งแต่เนื้อเรื่องต้องสนุก แล้วต้องมองว่ากลุ่มลูกค้าคือใคร ตลาดอยู่ที่ไหน ตลาดแอนิเมชั่นในต่างประเทศ อเมริกา แคนนาดา ยุโรป กินไปแล้ว 80% เอเชียมี ญี่ปุ่น เกาหลี จีน 10% กว่าๆ ส่วนออสเตรเลีย นิวซีแลนด์มีส่วนแบ่งเล็กน้อยขณะที่เมืองไทยไม่ถึง 1%

เพราะฉะนั้นถ้าจะทำหนังดี มีคุณภาพ เพื่อจะประกาศไปปักธงไว้ ก็คือ ต้องลงทุนมากกว่าปกติ แต่ต้องหาตลาดได้ เมื่อเริ่มจากตอบโจทย์เรื่องกลุ่มเป้าหมาย ก็สรุปออกมาว่าหนังจะเป็น 3D เสร็จแล้วมามองที่เนื้อเรื่อง มุขต่างๆ ต้องสอดคล้องกันก็เลยเป็นที่มาของการต้องทำความรู้จัก คือมีเพื่อนๆ ของผมตอนที่อยู่เมริกา เข้ามาช่วยแนะนำคนที่ฮอลลี่วู๊ด และคนที่อังกฤษก็เริ่มให้เขียนเนื้อเรื่องตาม Outline ซึ่งเนื้อเรื่องประมาณ 3 หน้ากระดาษ ทั้งเนื้อเรื่อง ทำนอง คอนเซ็ปต์ของเพลง หรือว่าคาแรคเตอร์ต่างๆ เราก็กำหนดให้ แล้วให้ทีมงานไปพัฒนาขึ้นมา

มาถึงคาแรคเตอร์ เพราะเปลือกหอยไม่เคยมีใครทำมาก่อน เคยไปจ้างเพื่อนที่ทำ Freelance ให้กับดิสนีย์วาดตัวการ์ตูนหอยขึ้นมา ปรากฏว่าไม่โดนเพราะเขาเอาเปลือกหอยขึ้นมาแล้วไปวาดตาบนเปลือก ยังไม่เป็นแนวใหม่ขึ้นมาสำหรับผม เลยคิดว่าให้ Designer ที่ Shell Hut ที่มีความคุ้นเคยกับเปลือกหอยดำเนินการ

เปิดตัว Shelldon อย่างไร

ตอนสร้างคาแรคเตอร์การ์ตูน ผมพบว่ามีมากเลย แต่การ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมีไม่เยอะ แล้วการ์ตูนลักษณะไหนที่จะประสบความสำเร็จ ผมเลยค้นคว้าข้อมูลอีกครั้งในปี 2546 ถึง 2548 เคยไปออกงาน TAM (Thailand Animation) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงแรกๆ ปรากฏว่าสร้างความฮือฮากันมา และมีคนสนใจขอเทกโอเวอร์ Shelldon

ผมรู้ว่าตลาดจริงๆ อยู่ที่อเมริกา ยุโรป แคนนาดา เลยตัดสินใจไปโรดโชว์เพื่อทดสอบตลาด โดยนัดคนที่ฮอลลีวู้ดมาเจอกันที่ร้านอาหารแถบ Beverly Hill คุยเสร็จเขาบอกการ์ตูน Shelldon น่ารัก คอนเซ็ปท์เขาให้ A+ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่คาแรคเตอร์เขาให้ B+ ผมถามว่าทำไม เขาพูดว่าคุณรู้ไหมการ์ตูนในโลกนี้มีกี่สตูดิโอ แล้วแต่ละสตูดิโอผลิตการ์ตูนออกมารวมกันเป็นล้านๆ แต่แจ้งเกิดได้กี่ตัว เขาบอกว่าการ์ตูนที่ดีต้องมีบุคลิกภาพที่ชัดเจนที่แสดงบุคลิกภายในออกมา แล้วทำให้มีชีวิตขึ้นมา เป็นคำตอบว่าทำไมผมถึงใช้เวลา 8 ปี ในการพัฒนาคาแรคเตอร์ดีไซน์ จนกระทั่งถึงเจ้า Shelldon ในปัจจุบัน

Shelldon เอื้อประโยชน์กับธุรกิจของครอบครัวได้มากน้อยไหน
จริงๆ แล้วที่ผ่านมา 8 ปี มีการทำหนังตัวอย่าง หนังตัวอย่างแบบสั้น ยาว ลองผิดลองถูกกันมาเยอะ มีการใช้หลายสตูดิโอพอสมควร ที่เมืองไทยก็เคยมีการร่วมงานกับ ImagineMax รวมถึง กันตนา วิทิตา ที่มีความปรารถนาสร้างสรรค์การ์ตูนไปโกอินเตอร์ พวกเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือไม่ต้องการมองว่าเป็นคู่แข่ง แต่พวกเราจะร่วมงานกันอย่างไร เพื่อให้โปรเจ็กต์ใหม่ของคนไทยเกิดขึ้น ถ้ามัวแต่แข่งกันเอง เหยียบย่ำกันจะไปไม่ถึงไหน

ตอนนี้ผมใช้บริการสตูดิโอ B-Boyd ของคุณบอย โกสิยพงษ์ เมื่อทุกคนที่เห็นโปรเจ็กต์ Shelldon อยากทำ แล้วเมื่อบอกว่าพวกเราอยากไปปักธงที่เมืองนอก ทุกคนยิ่งทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่ และทำงานกันอย่างดี แต่เรามีข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องการเพื่อส่งให้ทางต่างประเทศค่อนข้างเยอะว่าต้องได้แบบนี้ ก็เลยเข้าไปคุยงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้งานตามคุณภาพที่ต้องการ นอกนี้ผมยังใช้สตูดิโอที่สิงคโปร์และไต้หวันด้วย

ด้วยความที่ผมกับทีมงานอยากให้คนไทยได้ดูก่อนว่านี่เป็นโปรเจ็กต์ของคนไทย คนไทยได้ดูก่อน จากนั้นช่วงฤดูร้อนปีหน้าคนต่างชาติจะได้ดู

เงินลงทุน Shelldon

โปรเจ็กต์นี้เริ่มมาแล้ว 8 ปีที่แล้ว ผมใช้เงินลงทุนปีละ 10 ล้านบาท ที่แพงจะเป็นข้อมูล การวิจัย หาทีมงาน โดยพวกเราใช้เงินประมาณ 1 แสนเหรียญสหรัฐต่อตอน (22 นาที) ขณะที่ฝรั่งใช้ราวๆ 5 แสนเหรียญสหรัฐ แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพแล้วสูสีกัน แต่ต้องอาศัยประสบการณ์เล็กน้อย

ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 80 ล้านบาท ถือว่าเป็นการลงทุนที่สำคัญที่สุดในชีวิต

ผมว่าลงทุนมากที่สุด ตัวเม็ดเงินบางคนอาจจะมองว่าเป็นจำนวนมาก แต่ผมมองว่า จริงๆ แล้ว คือ เอา “ใจ” ไปลงทุน ซึ่งสำคัญที่สุด คือ เม็ดเงินบางครั้งเราลงทุนไปแล้ว ปีละ 10 ล้าน 20 ล้านบาท แต่เมื่อไรก็ตามที่ “ใจ” เรายอมแพ้ เม็ดเงินจะสูญเปล่า

วันนี้ผมลงไปแล้ว 80 ล้านบาท แต่ถ้าสมมติออกมาไม่ได้แบบที่คาดไว้ ผมต้องยอมรับว่า ได้พยายามแล้ว ได้ศึกษาข้อมูลอย่างเต็มที่ อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหมายไว้ แต่จริงๆ เราก็มีการป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ไว้หมดแล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งมีเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้วไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เราสามารถรับได้แค่ไหน ซึ่งก็มาคุยกันทั้งผมและทีมงาน ครอบครัว ทุกคนบอกว่าลุยเลย ตรงนี้ คือ การลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะผมมองว่าเม็ดเงินที่ลงทุนไป ไม่ว่าจะเป็น 10 ล้าน 80 ล้าน หรือ 100 ล้านบาท สุดท้ายเราคาดว่าสามารถดึงกลับมาได้ ถ้าโปรเจ็กต์นี้ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าใจที่ลงไปแล้วถ้าเกิดยอมแพ้ดึงกลับมายาก

คิดอย่างไรกับ ชีวิต คือ การลงทุน
การลงทุนของผม ของทีมงานและของครอบครัว นอกเหนือจากใจที่ลงไปแล้ว ยังเป็นเรื่องของ Abstract แต่การลงทุนจริงๆ คือ ต้องกล้าที่จะลง กล้าตัดสินใจ ถึงแม้ว่าปีหนึ่งๆ ต้องลงทุนเป็น 10 ล้านบาท

ผมมองว่าการลงทุนเป็น Asset หรือ Property ระยะยาว ในอนาคตไม่ว่าตัวผม บริษัท หรือตัวการ์ตูนที่ทำอยู่ หรือบริษัทอื่นๆ ที่เป็นเหมือนประตูให้กับธุรกิจแอนิเมชั่น เขาไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกแล้ว เพราะเราลองและทำให้หมดแล้ว

ผมเห็นด้วยมากๆ กับประโยคที่ว่า ชีวิต คือ การลงทุน เพราะว่าการลงทุน คือ ความที่เรากล้ารับความเสี่ยง เพราะถ้าเราไม่กล้ารับความเสี่ยง เราจะไม่กล้าลงทุน การลงทุนจะไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างมีความเสี่ยง อาจจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ แต่จะต้องมีความเสี่ยงอยู่แล้ว ความเสี่ยงอาจจะเกิดจากปัจจัยที่เราคุมได้ หรืออาจจะคุมไม่ได้ก็ได้

การที่ทำการวิจัยศึกษาข้อมูลจะช่วยป้องกันความเสี่ยงและป้องกันความเสี่ยงของผู้ลงทุนในโปรเจ็กต์ของเรา เพราะอาจจะบอกว่าเรารับได้นะ เพราะมีการฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันไว้เรียบร้อย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความมั่นคงกับผู้ลงทุน ซึ่งต้องตอบโจทย์ตรงนี้ว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดแปลก แหวกแนวเกิดขึ้น ทุกคนแฮปปี้

พวกเราต้องการไปปักธงไทย “Thaitoon to the World” และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปที่เมืองคานส์ ก็เอาโปรเจ็กต์นี้ไปโชว์ และได้มีการนัดพบตัวแทนจำหน่ายทั้งหมด ปรากฏว่าต่างคนต่างถูกใจกันและกัน

อีก 2 ปีข้างหน้าจะได้ชมพร้อมกันทั่วโลก

ปี 2553 Shelldon จะสร้างเสร็จเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นและฉายทั่วโลก แต่ผมก็ยังเป็นตัวกระจ้อยหนึ่งในโลก แต่ในหนังของผมจะมีคำหนึ่งที่ว่า “One Gain Us Stand” คือ เม็ดทรายเม็ดเดียว อาจจะไม่เห็นคุณค่า ลมพัดก็ปลิว แต่ใครจะรู้บ้างว่าเม็ดทรายรวมตัวกันแล้วจะเกิดเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ รวมตัวกันเป็นหอยมุก ถ้าหอยมุกไม่มีทรายที่ขับเคลื่อน ก็จะไม่มีมุก เพราะฉะนั้นเราถึงมาร่วมกันทำความดี ร่วมกันทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ผมถึงจะมีประโยคที่ใช้กับตัว Shelldon ตลอดนะครับ ก็คือ “Together is a brand new day”

source:http://www.moneychannel.co.th/Menu5/ชวตคอการลงทน/tabid/132/newsid773/68995/Default.aspx

FACEBOOK, GOOGLE AND APPLE

    โลกอินเตอร์เน็ตเติบโตขึ้นทุกวันจากเว็บไซต์ธรรมดาค้นหาข้อมูลผ่าน Google เข้าสู่ยุค Social Networking ที่ใครๆก็ต้องมี Facebook ที่คอยอัพเดทข่าวสารเรื่องราวต่างๆส่งต่อๆกัน แชร์ให้กัน พอข้ามมาฝั่งโปรแกรมบนอุปกรณ์ต่างๆทั้งคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นเพลง ของเล่นสุดไฮเทค จนถึงโทรศัพท์มือถือที่จะต้องยกให้บริษัท Apple เป็นเจ้าของโปรแกรมดาวน์โหลดที่มีมากมายจริงๆ แล้วการที่เรามีการส่งต่อข้อมูลอะไรของเราหรือของคนอื่นผ่าน Facebook, Google และกับโปรแกรมจาก Apple นั้นมันจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันล่ะ แล้วทั้ง 3 บริษัทเจ้าไหนจะเป็นเหมือนปีศาจที่คอยครอบคลุมเข้าดูข้อมูลและแอบศึกษาพฤติกรรมคนใช้งาน หรือเจ้าไหนจะเป็นเหมือนเทวดาที่นำแต่สิ่งดีๆมาให้ไม่ได้แอบหวังผลร้ายอะไร ลองมาดูตัวเลขน่าสนใจของ Infographic ชิ้นนี้กันดูว่ายิ่งแชร์ข้อมูลมากๆมันจะดีหรือไม่กันแน่นะ? เพราะไม่ว่าเราจะใช้บริการอะไรก็ตามก็ย่อมมีการให้แจ้งข้อมูลของผู้ใช้งานกับเจ้าของบริการอยู่แล้ว ซึ่งบริการอะไรที่มีการแจ้งว่าจะไม่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว อะไรที่อยู่บนความคลุมเครือของการเข้าถึงข้อมุลส่วนบุคคลอยู่บ้าง สุดท้ายอะไรคือความน่าเชื่อถือว่าจะไม่มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเองเรากันล่ะ



source: http://www.veedvil.com/ad-infographic/good-or-evil-have-we-shared-too-much/

15 Games on Ipad

15 เกมส์ต่อไปนี้คือเกมส์ที่คุณควรจะมีติด iPad ของตัวเองไว้…แต่ไม่ต้องน้อยใจไปหากไม่มีเกมส์ที่ตัวเองเชียร์ อยู่ใน lists เหล่านี้ ^^

1. เกมส์ Flight Control HD

เป็นเกมส์แนวบังคับ/ควบคุมเครื่องบิน ซึ่งได้อัพเดตจากเดิมที่มีให้เล่นอยู่บน iPhone การเล่นก็ง่ายดายเพียงแค่เลือกว่าจะบังคับเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ ให้ขึ้น/ลง (Take off/Landing) อย่างปลอดภัย และห้ามเฉี่ยวชน เท่านี้ก็ได้คะแนนกันไปแล้วล่ะครับ แต่ถ้าใครอยากเพิ่มความมันส์ไปกับระบบ 3D เพื่อให้ได้แผนที่ที่มีความเหมือนจริงแล้วล่ะก็ ก็สามารถเข้าไปเล่น online ได้อีกทางหนึ่งด้วย

2. เกมส์ Warpgate HD

เป็นเกมส์แนวแอ็กชั่น/RPG (เป็นเกมส์ที่เราต้องรับบทบาทสมมติเป็นตัวละครในเกมส์นั้นๆ) ในเกมส์ต้องรับบทเป็นหัวหน้านักบินบนยานอวกาศที่มีชื่อว่า Interstellar มีหน้าที่ในการค้นหาขุมทรัพย์ที่อยู่ในอวกาศไปพร้อมๆกับภาพกราฟฟิคที่สวยงามที่เดียวเชียวครับ

3. เกมส์ Pool Pro Online 3

สำหรับเกมส์นี้เป็น pool ที่มีให้เลือกเล่นทั้งแบบ 8 ลูก 9 ลูก หรือสนุกเกอร์ จะเล่นแบบเดี่ยว(เจอกับคอมพิวเตอร์) หรือจะเล่นระหว่าง iPad , iPhone, smartphone หรือโน๊ตบุ๊ค (Multiplayer) กันเองก็ย่อมได้ ภายในเกมส์มีออฟชั่นให้เลือกมากมายไม่ว่าจะเป็น แบบ/ลวดลายของโต๊ะ, ไม้คิว, ลูกสนุ๊กฯ หรือแม้แต่บรรยากาศในยามแข่งขัน

4. เกมส์ We Rule

เกมส์เป็นลักษณะการสร้างอาณาจักรแห่งร้านค้า เพื่อนๆเราใน social network สามารถเข้ามาลงทุนในอาณาจักรของเราและเราเองก็สามารถเข้าไปลงทุนในอาณาจักรของเพื่อนเราได้เหมือนกัน เมื่อเราขายของได้มาก level ของเราก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อาณาจักรของเรามีชื่อเสียงในเรื่องการค้าขายและบริการ

5. เกมส์ LED Football Player vs Player

เป็นเกมส์ที่ต้องเล่นแบบ Head-to-Head หรือเล่นระหว่างเครื่อง iPad เหมือนกันเท่านั้น (คล้ายกับ PSP)

6. เกมส์ Geometry Wars Touch

เป็นเกมส์แนว frantic arcade-style action มีรูปภาพและสีสันสวยงามน่าประทับใจไม่น้อย มีโหมดให้เลือกเล่นทั้งแบบเจอกับคอมฯและแบบ online

7. เกมส์ Plants vs Zombies HD

เป็นเกมส์ที่ประสบความสำเร็จมากทีเดียวบนเครื่องแมคและ iPhone ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยที่ทางผู้ผลิตจะต้องนำมันมาลงใน iPad ด้วย ในเกมส์เรามีหน้าที่ป้องกันบ้านให้รอดพ้นเงื้อมมือของซอมบี้ที่จะกรูกันเข้ามาโจมตีกันเลยทีเดียว

8. เกมส์ Need for Speed Shift

คงไม่มีนักแข่งรถคนไหนไม่รู้จักเกมส์ๆนี้แน่ที่ผลิตโดย EA โด่งดังมาหลายหลากเวอร์ชั่น จนต้องนำมาใส่ลงใน iPad กับเวอร์ชั่น Need for Speed Shift ด้วยข้อดีของหน้าจอ iPad ทำให้บังคับรถได้อย่างง่ายดายและสนุก(ถ้านานๆไปอาจจะเมื่อยมือไปนิดนึง) วิธีการเล่นก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่เอาชนะ(เป็นที่หนึ่ง)ให้ได้ ก็จะได้เงินเพื่อนำไปซื้อรถใหม่ หรือจะเอาไปโมดิฟายด์เครื่องยนต์ ฯลฯ ก็ไม่ผิดกติกา ส่วนโหมดการเล่นมีให้เลือกทั้ง single-player และ multiplayer ครับ ^^

9. เกมส์ Labyrinth II HD

เป็นเกมส์หน้าตาคล้ายพินบอล เพียงแต่ถ้าเราต้องการชนะเราต้องพาเจ้าลูกบอลจากจุดเริ่มต้นไปให้ถึงจุดหมาย ระหว่างทางจะมีอุปสรรคต่างๆไม่ว่าจะเป็น หลุม, บ่อหรือทางที่คดเคี้ยว หากผ่านด่านได้เกมส์ก็จะค่อยๆยากขึ้นเรื่อยๆ สามารถเล่นได้ทั้งแบบ single player และ multiplayer

10. เกมส์ Foosball HD

หรือเกมส์โต๊ะบอลที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง แบ่งเป็นทีมละ 3 แถว คือ ผู้รักษาประตู, กองกลัง+กองกลาง, และกองหน้า ใครยิงเข้ามากที่สุด(ภายในเวลาที่กำหนด) ก็จะเป็นฝ่ายชนะไป สามารถเล่นได้ทั้งแบบ single player และ multiplayer

11. เกมส์ The War of Eustrath HD

เป็นเกมส์แนววางแผน/RPG ผู้เล่นต้องรับบทเป็นผู้ควบคุมกองทัพหุ่นยนต์ที่มีนามว่า GEARs  มีด่านให้ฝ่าทั้งหมด 50 ด่าน

12. เกมส์ Words with Friends HD

วิธีการเล่นเหมือนกันกับ Scrabble เปี้ยบเลย ดังนั้นอย่าลืม double word and triple letter scores ล่ะ

13. เกมส์ Twin Blades HD

เป็นอีกเกมส์แนวแอ๊คชั่นที่มีในไอโฟนด้วยเหมือนกัน แต่ เกมส์ Twin Blades HD บน iPad นี้ แจ่มกว่า เพราะความละเอียดของรูปแบบกราฟฟิค และการเคลื่อนไหวที่ดีกว่ามาก คุณต้องทำหน้าที่ปกป้องเมืองจากบรรดาเหล่าผีดิบด้วยอาวุธที่มีตั้งแต่มี ปืนกล ไปจนถึงใช้ระเบิดสังหาร กับฉากที่แตกต่าง  ถ้าคุณเป็นแฟน เกมส์สไตล์ Kawii หรือ anime คุณต้องชอบกราฟฟิคในเกมส์นี้อย่างแน่นอน..คอนเฟิร์ม!

14. เกมส์ Espgaluda II

เริ่มแรกเกมส์ Espgaluda II ไม่ได้มีที่มาจาก iPad เกมส์ จริง ๆ แล้วเป็นเกมส์ที่มีการพัฒนาจากเกมส์แนว Bullet-hell เพื่อเล่นกับ Xbox 360 พัฒนาต่อมาเพื่อเล่นกับ iPhone 3G และในเจนเนอเรชั่นที่สามก็เพื่อเล่นกับ iPod touch Pixel-doubled graphics ไม่ได้ลดความเจ๋งของเกมส์นี้ลงเลยเมื่อนำมาเล่นกับ iPad ภาพกราฟฟิคการ์ตูนญี่ปุ่นที่สมจริง ยิ่งทำให้ เล่นใน iPad สนุกยิ่งกว่าใน iPhone ซะอีก

15. เกมส์ Let’s Golf! HD

เกมส์ตีกอล์ฟสุดมันให้คุณได้วาดวงสวิงกันแบบเต็มที่ ในสนามแข่งขันต่างๆมากมาย พร้อมตัวละครน่ารักๆที่มีให้เลือก การ Zoom เข้า-ออกเพื่อดูลายหญ้าของสนามง่ายกว่าเล่นบนคอนโซลเสียอีกเพราะใช้นิ้วมือสัมพัสและจับยืดขยาดได้สะดวก รับรองเกมส์นี้ทั้งสนุกและตื่นเต้นเหมือนออกรอบจริงกันเลยทีเดียว


Source: http://www.veedvil.com/application/games-ipad/